ร.ร.ลินคอล์น เฮาส์ ชวนเพื่อนเข้า ‘Student Camp’ ค่ายเยาวชนรุ่นใหม่ จุดไฟประกายฝันช่วงปิดเทอม

เมื่อวันที่ 18 – 23 มีนาคม 2567 ที่ IYF Center ศูนย์รังสิต จังหวัดปทุมธานี โรงเรียนลินคอล์น เฮาส์ ได้จัด Student Camp ค่ายเยาวชนรุ่นใหม่ เพื่อให้เยาวชนได้ค้นหาตัวเองผ่านกิจกรรมต่างๆ รวมถึงการเรียนรู้เรื่องของจิตใจ ทำให้พวกเขาได้ใช้เวลาช่วงปิดเทอมอย่างสร้างสรรค์ โดยค่ายครั้งนี้ มีผู้เข้าร่วมรวม 160 คน

ตลอดช่วง 6 วัน 5 คืน อัดแน่นไปด้วยกิจกรรมมากมาย เป็นเวลาที่น้องๆ ได้สั่งสมประสบการณ์นอกห้องเรียนที่ใช้ได้จริงในชีวิตประจำวัน ทั้งการเรียนรู้ด้านจิตใจ ผ่านกิจกรรม Mind Lecture, Art Therapy และ Mind Recreation ที่ทำให้น้องๆ ได้รู้จักจิตใจของตัวเอง รวมไปถึงการเรียนรู้ด้านภาษาและวัฒนธรรม ผ่านกิจกรรม Language Villages และ Culture และกิจกรรมอื่นๆ อีกมากมาย

ในส่วนของกิจกรรม Language Villages เป็นกิจกรรมที่น้องๆ สามารถเลือกเรียนภาษาตามความสนใจของตัวเอง แบ่งเป็น ภาษาอังกฤษ และภาษาเกาหลี ซึ่งนอกจากน้องๆ จะได้เรียนรู้คำศัพท์และการสนทนาในชีวิตประจำวันผ่านสถานการณ์จำลองต่างๆ แล้ว ยังได้เรียนรู้ Mindset ในการเรียนภาษาอีกด้วย แม้การเรียนภาษาที่สองหรือภาษาที่สาม อาจดูเป็นเรื่องยาก แต่เมื่อก็เป็นช่วงเวลาที่ทำให้น้องๆ ได้เรียนรู้ที่จะก้าวข้ามขีดจำกัดของตัวเอง

อีกกิจกรรมหนึ่งที่สำคัญ คือ กิจกรรม Mindset Academy  โดยแบ่งเป็น Academy การเรียน อาการติด ความสัมพันธ์ และซึมเศร้า เมื่อนักเรียนได้เข้าร่วมกิจกรรมจึงได้เห็นถึงความสำคัญของการมี Mindset ที่ดี และนำสิ่งที่ได้เรียนรู้ไปปรับใช้ในการใช้ชีวิตประจำวันของตัวเองและการใช้ชีวิตร่วมกับผู้อื่น ในช่วงของ Academy ความสัมพันธ์ ผ่านการทำกิจกรรม 3.3.3 ทำให้น้องๆ เริ่มเปิดใจ และลองพูดขอบคุณ ขอโทษ และเห็นความสำคัญของคนที่อยู่รอบข้างมากขึ้น

สำหรับกิจกรรม Culture เป็นโอกาสที่น้องทุกคนไปได้ท่องโลก ผ่านทางการเรียนรู้วัฒนธรรมจากประเทศต่างๆ เช่น การทำอาหารเกาหลียอดนิยม “ต๊อกโบกี” ได้สัมผัสวัฒนธรรมของประเทศเกาหลีผ่านทางการทำอาหารกับเพื่อนๆ บรรยากาศจึงเต็มไปความสนุกสนานและความอร่อย นอกจากนี้ก็ยังได้ท่องโลกแห่งสีสันไปกับกิจกรรม Face Painting สีสันแห่งวัฒนธรรมที่ถูกแต่งแต้มบนใบหน้าของน้องๆ ทวีคูณรอยยิ้มเหล่านั้นให้สดใสมากยิ่งขึ้น

ในช่วงที่สำคัญที่สุดก็คือช่วงบรรยายเรื่องโลกของจิตใจ โดยผู้บรรยาย ดร.กิตติมศักดิ์ ฮัก เชิล คิม ผู้ก่อตั้งโรงเรียนลินคอล์น เฮาส์ ประเทศไทย โดยดร. ฮัก เชิล คิม ได้เริ่มต้นการบรรยายด้วยการให้ดูการ์ตูนเกี่ยวกับเรื่องราวของมดและตั๊กแตน ว่า มดเลือกเตรียมอาหารของมันในฤดูแล้งเพราะเป็นฤดูที่มดพอจะไปเตรียมอาหารได้ ตรงข้ามตั๊กแตนกลับไม่เตรียมอาหารเลย เมื่อฤดูหนาวมาถึง จึงไม่มีอาหารจะกินและอดตาย โดยสิ่งที่สำคัญจากเรื่องนี้คือตอนที่คนเรายังอยู่ในวัยหนุ่มสาว เป็นช่วงเวลาวัยเรียน เราจึงควรเรียน แต่เยาวชนมากมายจะไม่ค่อยมีใจที่จะเรียน และเลือกไปเล่นเกม หรือเสพยา ผมอยากย้ำทุกคนว่า เวลาที่เรายังมีแรงกำลังก็ควรจะใช้กับการเรียน เพราะพอถึงช่วงวัยหนึ่ง ก็อาจจะไม่สามารถเรียนได้แล้ว

วันถัดมาได้บรรยายในหัวข้อ ความฝันของโยเซฟ ซึ่งอยู่ในพระคำปฐมกาล ตั้งแต่บทที่ 37-45 ว่า วันหนึ่งโยเซฟฝันว่า พ่อแม่และพวกพี่ชายจะกราบไหว้ตัวเอง เมื่อพวกพี่ชายได้ยินเช่นนั้นก็รู้สึกเกลียดโยเซฟ จึงขายเขาให้ไปเป็นทาส หลังจากนั้นโยเซฟก็เจอเรื่องราวต่างๆ มากมาย ไม่ว่าจะเป็นการถูกใส่ร้าย จนสุดท้ายทำให้เขาต้องติดคุก แต่เพราะโยเซฟเชื่อมั่นว่าวันหนึ่งเขาจะได้เป็นผู้ปกครองอียิปต์ ซึ่งไม่ใช่ความฝันของเขาเอง แต่เป็นความฝันซึ่งพระเจ้าเป็นผู้มอบให้และสัญญากับเขา สุดท้ายเขาจึงได้เป็นผู้ปกครองอียิปต์ หลังจากที่โยเซฟได้รับความฝันจากพระเจ้า แม้จะเกิดเรื่องราวมากมายที่ทำให้ดูเหมือนว่าความฝันนั้นจะเป็นไปไม่ได้ และถูกพี่ชายเกลียด แต่เขาก็สามารถเอาชนะความเกลียดนั้น และก้าวข้ามสถานการณ์ต่างๆ ได้ ด้วยความเชื่อในพระเจ้าผู้ทรงไม่เคยทอดทิ้งเขา

ช่วง “เรื่องเล่าจากนักเรียน” เป็นช่วงเวลาที่นักเรียนจากโรงเรียนลินคอล์น เฮาส์ ได้มาแบ่งปันประสบการณ์เกี่ยวกับการเปลี่ยนแปลงตนเองที่เกิดขึ้นอย่างน่าอัศจรรย์ ผ่านการเรียนในหลักสูตร Mind Education นักเรียนหลายคนเล่าว่า พวกเขาต่างก็เคยเป็นเด็กที่มีปัญหาจนหลุดออกจากระบบการศึกษามาก่อน ซึ่งปัญหาส่วนใหญ่เริ่มต้นมาจากการเชื่อและติดตามความคิดของตนเอง แต่เมื่อพวกเขาได้มาเข้าร่วม Student Camp พวกเขาจึงได้เห็นว่ามีโรงเรียนที่พร้อมจะให้โอกาสและคอยสอนสิ่งที่เรียกว่า “โลกของจิตใจ” ซึ่งจะช่วยให้พวกเขาสามารถหลุดพ้นออกจากปัญหาเหล่านั้นได้

ในแต่ละวันจะมีการแสดงพิเศษ ไม่ว่าจะเป็น การเต้น การร้องเพลงประสานเสียง และวงดนตรี รวมไปถึงการแสดงละครเวที จากนักเรียนลินคอล์นและเหล่าอาสาสมัคร สำหรับการแสดงละครเวทีชุดกิมจิในช่วงเย็นวันแรก เปิดใจน้องๆ ที่มาเข้าร่วมอย่างมาก พวกเขาได้รู้ว่าการยอมทิ้งความคิดของตัวเองและลองก้าวข้ามผ่านความยากลำบาก เหมือนผักกาดที่ยอมดูดซับเกลือเข้าไป แม้มันจะต้องเจ็บปวด แต่สิ่งนี้กลับทำให้ผักกาดเหล่าน้้นกลายเป็นกิมจิที่แสนอร่อยได้

นอกจากนี้ยังมีกิจกรรมอื่นๆ เช่น กิจกรรม Art therapy และ Mind on Film ที่ให้น้องๆ ได้ลองส่องจิตใจของตัวเองผ่านกิจกรรมการวาดประตูใจและการดูหนัง รวมไปถึงกิจกรรม Mind Recreation ให้น้องๆ แข่งกันสร้าง Mash Mellow Tower ให้สูงที่สุด และผ่านกิจกรรมนี้ทำให้พวกเขาได้เรียนรู้ว่า สิ่งที่สำคัญมากกว่าการสร้างหอคอยให้สูง คือการตั้งรากฐานที่แข็งแรง เช่นเดียวกับชีวิตของเรา คนมากมายมักจะมองที่เป้าหมายและต้องการที่จะประสบความสำเร็จอย่างรวดเร็ว แต่ไม่มีรากฐานใจที่แข็งแรง เมื่อปัญหาเข้ามา ก็ไม่สามารถเอาชนะได้ และสุดท้ายก็ได้แต่จมอยู่กับความสิ้นหวัง

อีกทั้งยังมีกิจกรรม City Tour ให้น้องๆ ได้ออกไปทำกิจกรรมนอกสถานที่ เป็นกิจกรรมที่ให้แบ่งกลุ่มถ่ายรูปทำภารกิจให้สำเร็จตามที่ได้รับ น้องๆ ที่มาเข้าร่วมรู้สึกสนุกสนานและตื่นเต้นไปกับภารกิจในแต่ละด่าน ซึ่งกิจกรรมนี้เป็นหนึ่งกิจกรรมที่ได้รับการตอบรับที่ดีเป็นอย่างมาก และกิจกรรม Water Olympic ที่ให้น้องๆ ได้ทำกิจกรรมตามฐานต่างๆ เป็นกิจกรรมที่เพิ่มความสดชื่นในช่วงหน้าร้อน ซึ่งนอกจากความสนุกสนานแล้ว น้องๆ ยังได้ฝึกความสามัคคีและการทำงานเป็นกลุ่มอีกด้วย

ในช่วงคืนก่อนวันสุดท้าย ให้น้องๆ จับกลุ่มและเตรียมการแสดง ใช้ความคิดสร้างสรรค์ผ่านการเรียนรู้เรื่องของจิตใจในช่วงหลายวันที่อยู่ในแคมป์ ทำให้เกิดเป็นการแสดงต่างๆ เช่น การเล่นละครเรื่องคนจ่ายค่าแท็กซี่ 300 บาท หรือ ละครเรื่องมดกับตั๊กแตน เมื่อได้ทำเป็นการแสดงออกมา ก็เป็นโอกาสที่พวกเขาได้ทบทวนในสิ่งที่ได้ฟังมาตลอดค่ายอีกครั้งหนึ่ง

วันสุดท้ายของค่ายมีกิจกรรม Mind Speech Contest กิจกรรมนี้เป็นโอกาสที่ให้น้องๆ ได้ถ่ายทอดสิ่งที่ได้รับหรือสิ่งที่เปลี่ยนแปลงหลังจากที่ได้เรียนรู้เรื่องโลกของจิตใจในช่วงวันที่ผ่านมา มีน้องๆ ที่สนใจและส่งบทพูดของตัวเองเข้ามาจำนวนมาก โดยกรรมการได้คัดเลือกเหลือ 5 คนสุดท้ายเพื่อเข้ารอบชิง และให้รางวัล 3 อันดับแก่ผู้ที่พูดได้ประทับใจมากที่สุด  

ผ่านการพูดคุยกับครูกลุ่มในแต่ละวัน ทำให้น้องๆ ได้เริ่มคิดอย่างลึกซึ้งเกี่ยวกับชีวิตของตัวเอง และได้มองเห็นปัญหาที่ไม่เคยมองเห็นมาก่อน บางคนไม่ได้สนใจเรียนต่อ ติดยาเสพติด ใช้ความรุนแรง หรือมีบาดแผลที่ฝังลึกอยู่ในใจ จากที่ไม่เคยคิดเรื่องอนาคตและใช้ชีวิตตามใจตัวเอง ก็เริ่มมองเห็นจิตใจของตัวเองมากขึ้น

แม้จะเป็นช่วงเวลาสั้นๆ เพียง 6 วัน 5 คืน แต่ผ่านค่ายในครั้งนี้ ก็เป็นเวลาอันมีความหมายที่นอกจากจะได้รับความสนุกสนานจากกิจกรรม การเรียนภาษา และการได้ลองประสบการณ์วัฒนธรรมใหม่ๆ แล้ว ยังทำให้พวกเขา ได้ย้อนมองจิตใจของตัวเองอีกด้วย กิจกรรมเหล่านี้ทำให้น้องๆ บางส่วนเปิดใจ และสนใจอยากอยู่ Summer Camp ที่จะเริ่มจัดในสัปดาห์ถัดไปเป็นเวลา 1 เดือน

บทสัมภาษณ์

นางสุธัญญา แผ้วสาสน์ อายุ 46 จ. ปทุมธานี คุณแม่ของน้องใบตอง ผู้เข้าร่วม Student Camp ครั้งนี้ กล่าวว่า ตนรู้สึกดีใจเป็นอย่างมากที่ตัดสินใจให้ลูกได้มาเข้าร่วมแคมป์ครั้งนี้ เนื่องจากตนได้เห็นความเปลี่ยนแปลงของน้องอย่างชัดเจน ก่อนหน้านี้น้องจะเป็นคนที่เก็บตัว ไม่ค่อยพูดคุยกับคนรอบข้าง อยู่บ้านก็เล่นแต่มือถือ เก็บกดจนทำร้ายตัวเองด้วยการกรีดข้อมือ ตนพยายามหาทางออก พาน้องไปพบแพทย์ แต่ก็รู้สึกว่าไม่ใช่ทางออกที่ดีที่สุดเพราะแพทย์ทำได้แค่ให้ยามาทานเท่านั้น แต่จิตใจของน้องก็ไม่ได้เปลี่ยนแปลง

ครั้งนี้ตอนส่งน้องมาแคมป์มีความกังวลว่าน้องจะเข้ากับใครไม่ได้ แต่คุณครูก็คอยส่งข่าวส่งรูปน้องทำกิจกรรมให้เราผ่อนคลายความกังวลเรื่อย ๆ ผ่านทางรูปภาพเองก็เห็นว่าแต่ละวัน ๆ ที่ผ่านไปน้องค่อย ๆ เปลี่ยนและดูมีความสุขมายิ่งขึ้น จนกระทั่งเมื่อวาน ผ่านทางการบรรยายเรื่องโลกของจิตใจ และการพูดคุยจิตใจ น้องได้เห็นว่าจริง ๆ ตนทำผิดกับหลาย ๆ คน ใช้จิตใจที่ผิดอยู่ จึงตัดสินใจโทรหาพ่อเขาซึ่งแยกทางกับแม่ไปนานแล้ว น้องโทรไปขอโทษคุณพ่อ ที่เคยเกลียดพ่อ และหลังจากนั้นก็โทรมาหาขอโทษแม่ที่เคยเกลียดแม่และคิดอยากจะฆ่าแม่ ตนได้ฟังดังนั้นก็ดีใจมากเพราะครั้งนี้เป็นครั้งแรกที่น้องได้พูดจิตใจตนเองออกมาจริง ๆ ถึงแม้ว่าน้องบอกว่าจะฆ่าตน แต่พอได้พูดคุยกัน รู้สึกได้เลยว่าจิตใจเราใกล้กันมากขึ้น เห็นน้องที่เปลี่ยนแปลง เห็นน้องที่เปิดใจคุย และรับฟังเรา รู้สึกดีใจและขอบคุณโรงเรียนลินคอล์นที่ทำให้เราเหมือนได้ลูกคนใหม่กลับมา เป็นความสุขที่หาที่ไหนไม่ได้เลยจริง ๆ ค่ะ

นางสาวสิญานันทน์ โมรา (น้องมายด์) อายุ 19 ปี กรุงเทพฯ กล่าวว่าชีวิตปกติขอบตนนอกจากเข้าเรียนแล้วกลับบ้านมาก็เล่นแต่เกมและก็นอนแล้วก็เล่นเกมและนอน วนไปเรื่อยๆ แบบนี้ รู้จักแคมป์นี้เพราะว่ามีคุณครูไปลงพื้นที่ชวนถึงที่บ้านและตนได้ฟังเรื่องราวเกี่ยวกับโรงเรียนลินคอล์นที่เน้นการพัฒนาจิตใจของเด็ก ซึ่งส่วนตัวตนเป็นโรคซึมเศร้าและรู้สึกโดดเดี่ยวมาโดยตลอด มีความกลัวและกังวลว่าตนจะไม่สามารถใช้ชีวิตในสังคมได้หากวันหนึ่งต้องเสียพ่อแม่ไป พอได้พูดคุยกับจึงทำให้มีความหวังที่ตนจะได้เปลี่ยนแปลงตัวเองผ่านทางกิจกรรมของโรงเรียนนี้

การได้เข้าร่วมแคมป์ครั้งนี้ตนรู้สึกมีความสุขมาก ๆ เพราะก่อนหน้านี้ไม่รู้จักตัวตนที่แท้จริงของเรามาก่อน มักคิดว่าตัวเองเป็นคนที่ถูกต้องที่สุดไม่ว่าจะทำอะไรก็ตาม ผ่านทางการฟังบรรยาย อาจารย์ได้ยกพระคัมภีร์ไบเบิล ในเยเรมีย์บทที่ 17 ข้อ 9 ““จิตใจก็เป็นตัวล่อลวงเหนือกว่าสิ่งใดทั้งหมด มันเสื่อมทรามอย่างร้ายทีเดียว ผู้ใดจะรู้จักใจนั้นเล่า” ก็เห็นว่าตนที่คิดว่าถูกต้อง อีกทั้งชอบคิดฟุ้งซ่าน คิดเองเออเองก็เยอะ จนทำให้เป็นโรคซึมเศร้า ทำให้เห็นว่าแท้จริงแล้ว ที่ผ่านมาตนกำลังใช้ชีวิตด้วยจิตใจที่ผิด แท้จริงแล้วตนก็ไม่ใช่คนที่ดี ไม่ใช่คนฉลาด เป็นคนที่ผิดได้เหมือนกัน แค่เพียงคำพูดของเราก็ทำให้เราฆ่าจิตใจคนอื่นได้ ได้เห็นตัวตนของตัวเองแบบนี้ก็รู้สึกว่าปลดล็อคได้เหมือนกัน

ผ่านทางกิจกรรมในแคมป์ ทำให้ตนได้เจอเพื่อนใหม่ ๆ ได้พูดคุยแลกเปลี่ยนจิตใจ เปิดใจคุยกัน ส่วนตัวชอบร้องเพลง ชอบเต้น ชอบทำกิจใหม่ ๆ ที่เราไม่เคยได้ทำมาก่อนพร้อมกันกับเพื่อน ๆ ตนก็เพิ่งได้รู้ว่าตนชอบเข้าสังคม ขอบคุณมาก ๆ อยากชวนคนอื่นมาเข้าร่วมด้วย เพราะที่นี่เป็นที่ ๆ จะทำให้รู้จักจิตใจของตนเองมากยิ่งขึ้น และทำให้มีความสุข ขอบคุณค่ะ

นายชยนัฐ กาวเดช (น้องวีโก้) อายุ 16 ปี จ. ปทุมธานี กล่าวว่า สิ่งที่ตนรู้สึกประทับใจในการเข้าร่วมแคมป์ครั้งนี้คือกิจกรรม “City tour” ที่ตอนแรกตอนคิดว่าแค่ไปเที่ยวห้างสรรพสินค้าทั่วไป แต่ในครั้งนี้มีภารกิจให้ถ่ายรูปตามที่กำหนด หากทำภารกิจสำเร็จก็จะได้รับรางวัล ซึ่งกลุ่มของตนสมาชิกทุกคนช่วยกัน ทำให้ได้รับรางวัลชนะเลิศ นอกจากนี้ยังประทับใจที่ได้เรียนรู้การหักห้ามใจของตน เพราะปกติตนมักจะใช้ชีวิตที่ตามใจตัวเองอย่างเช่น การเล่นเกม แต่กามาร่วมกิจกรรมทำให้ตนได้หักห้ามใจกับสิ่งนี้ ได้มาทำกิจกรรมกับคนอื่น ๆ ออกมาจากการอยู่คนเดียว ตนรู้สึกว่าถ้าไม่ได้เรียนเรื่องการหักห้ามใจก็จะส่งผลเสียต่อชีวิต จากการฟังบรรยายเรื่องตั๊กแตนกับมดทำให้เห็นว่าถ้าใช้ชีวิตตามใจตัวเองต่อไปโดยไม่คิดวางแผนถึงอนาคตก็จะส่งผลเสียกับตนเอง ซึ่งตนอยากจะบอกกับเพื่อน ๆ ว่า แม้ไม่ได้ทำอะไรตามใจตัวเอง แต่การหักห้ามใจจะส่งผลดีต่อตัวเรา เพราะการที่ได้ลองเปิดใจเข้าหาคนรอบข้างและได้ทำกิจกรรมร่วมกันเป็นผลดีมากกว่าการอยู่คนเดียวมากครับ

นางสาวนอพอแอะ จะขุ่ย (น้องเมย์) อายุ 19 ปี กล่าวว่าตนเองตัดสินใจเข้าร่วมแคมป์ในครั้งนี้เพราะว่าตนเองรู้สึกเบื่อหน่ายกับการอยู่บ้าน โดยเฉพาะในช่วงปิดเทอม ตนเองมักจะเล่นโทรศัพท์ และไม่ได้ทำอะไร ตนประทับใจการเข้าฐานเรียนรู้วัฒนธรรมและภาษาของประเทศแอฟริกา อินเดีย เกาหลี ได้ทั้งเต้น ทั้งร้องเพลง ทั้งชิงของรางวัล สนุกมาก ๆ เลยค่ะ นอกจากนั้นยังมีโอกาสได้เรียนรู้เรื่องของจิตใจ ได้เห็นจิตใจของตัวเองที่เมื่อก่อนรู้สึกว่าพ่อแม่ไม่รัก รู้สึกโดดเดี่ยว และทำร้ายตัวเอง ตนเองไม่กล้าที่จะพูดกับคนอื่น แต่ที่นี่ได้สอนให้รู้จักการเปิดใจพูดคุยกับคนอื่น และได้เห็นถึงจิตใจของคุณพ่อคุณแม่มากขึ้น หลังจากแคมป์นี้ ตนจะนำการเปิดใจพูดคุยไปปรับใช้กับคุณพ่อคุณแม่ จะเปิดใจพูดคุยกับท่านให้มากขึ้น