“ประเทศจีนที่เราคิดหรือเคยได้ยินมา กับประเทศจีนที่เราได้เจอจริงๆ ไม่เหมือนกันเลย จากตอนแรกที่คิดว่าการเดินทางครั้งนี้ แค่ต้องการพัฒนาความรู้ภาษาจีนเท่านั้น กลับกลายเป็นว่า ตกหลุมรักทั้งผู้คน วัฒนธรรม และบ้านเมืองจนอยากจะกลับไปอีกครั้ง” คำบอกเล่าจาก “น้องมุก” หรือนางสาวปรัชนาร์ ศิระวนาดร บัณฑิตป้ายแดงจากคณะสังคมศาสตร์ วิชาเอกประวัติศาสตร์ มหาวิทยาลัยศรีนครินทรวิโรฒ ที่ตัดสินใจออกไปเก็บเกี่ยวประสบการณ์หลังเรียนจบในฐานะอาสาสมัครกับมูลนิธิเยาวชนสัมพันธ์นานาชาติ (ไอวายเอฟ) เป็นเวลา 4 เดือน ตั้งแต่ เดือนสิงหาคม ถึงเดือนธันวาคม 2561

ภารกิจแรก Healing Concert

    ตลอดระยะเวลาที่เป็นอาสาสมัคร น้องมุกได้ไปทำกิจกรรมทั้งในฮ่องกง และ จีน โดยภารกิจแรกจะอยู่ที่ฮ่องกง ทันทีที่เดินทางไปถึงก็มีกิจกรรมรออยู่แล้ว คือการแสดงพิเศษทุกวันเสาร์ เรียกว่า ฮิลลิ่ง คอนเสิร์ต (Healing Concert) เป็นการแสดงที่จัดให้ผู้ชมทั่วไปได้เข้าชมฟรีๆ มีทั้งการเต้นวัฒนธรรม แสดงละคร และร้องเพลงประสานเสียง โดยการแสดงและเตรียมงานทั้งหมดจัดโดยนักศีกษาและอาสาสมัครในโครงการ ทั้งคนจีน ไทย เกาหลีใต้ อาร์เจนตินา และเปรู ส่วนสาวไทยของเรา มีบทบาทตั้งแต่เริ่มออกไปแจกใบปลิว เชิญชวนคนมาร่วมงาน พอถึงวันงานก็ได้แสดงละครในบทตัวร้ายของเรื่อง ซึ่งเป็นเรื่องที่ท้าทายมากทีเดียว เพราะถึงแม้จะพอมีความรู้เรื่องภาษาจีนอยู่บ้าง แต่การแสดงครั้งนี้เนื่องจากแสดงที่ฮ่องกงจึงต้องใช้ภาษาจีนกวางตุ้งทั้งหมด ซึ่งแตกต่างจากภาษาจีนกลาง นักแสดงที่ประกอบไปด้วยอาสาสมัครเยาวชนจากหลายประเทศไม่ได้พูดจริงๆ แต่ใช้วิธีอัดเสียงจากคนท้องถิ่นแล้วแสดงท่าทางหรือขยับปากให้ตรงเสียง และต้องให้เข้าถึงอารมณ์ของบทบาทที่ตนได้รับ แม้ว่าตัวเองจะฟังไม่เข้าใจก็ตาม

วัฒนธรรมและและความล้ำสมัย

  • ฮ่องกงเป็นเขตการปกครองพิเศษของจีน มีผู้คนอาศัยอยู่กันอย่างหนาแน่นและเร่งรีบ คนไทยเองก็ชอบมาช้อปปิ้งที่ฮ่องกงอยู่บ่อยครั้ง ทำให้พ่อค้าแม่ค้าที่นั่นบางคนสามาถพูดไทยได้เพื่อต่อรองราคากับลูกค้าจากไทยเลยทีเดียว มุกทำกิจกรรมที่ฮ่องกงสักพัก อาจารย์จึงให้ย้ายไปหาประสบการณ์ต่อที่เมืองกวางโจว เมืองเอกของมณฑลกวางตุ้ง ประเทศจีน สาวไทยได้เข้าไปอยู่ในหอพักของทางมูลนิธิฯเป็นเวลา 1 เดือน ร่วมกับเพื่อนคนจีนถึง 11 คน มุกกล่าวว่า “ตอนแรกก็กังวลค่ะ เพราะยังพูดภาษาจีนได้ไม่มาก อาจารย์จึงให้ออกไปหาเพื่อนใหม่ที่มหาวิทยาลัยเพื่อฝึกพูดภาษาจีน พอต้องไปพบปะผู้คนใหม่ๆ ทุกวัน มุกจึงได้สมัผัสกับคนจีนจริงๆ พวกเขาชอบคนต่างชาตินะ และมีมนุษยสัมพันธ์ดีมาก บางคนเห็นเราเป็นอาสาสมัครก็ซื้อน้ำหรือขนมให้ ตอนนั้นพอเริ่มฟังภาษาจีนเข้าใจได้บ้างก็ได้เห็นวัฒนธรรมการพูดของพวกเขาที่ชัดเจนขึ้น คือจริงๆคนไทยจะชอบมองเวลาคนจีนคุยกันเสียงดัง เพราะคิดว่า เขาทะเลาะกัน แต่นั่นคือการสนทนาปกติค่ะ ไม่ได้มีปัญหาอะไรกัน เพียงแค่พูดเสียงดังเท่านั้นเอง”  
ที่พักที่เซินเจิ้น
ทำกิจกรรมกับเหล่าคนจีน
  •  ทุกเช้าที่เมืองกวางโจว น้องมุกต้องออกไปจ่ายตลาดเพื่อซื้อวัตถุดิบมาทำอาหารให้กับสมาชิกที่มูลนิธิฯ “ตอนที่ออกไปครั้งแรก แปลกใจมาก เพราะคนจีนไม่ใช้เงินสดกันเลย เงินของเขาจะอยู่ในมือถือ (แอพลิเคชั่นวีแชทหรืออาลีเพย์) ซึ่งทุกร้านก็รองรับการจ่ายเงินแบบนั้น แม้แต่ร้านขายผักเล็กๆ ที่วางขายกับพื้น ก็ยังมีคิวอาร์โค้ดให้แสกนจ่ายเงิน คือเลิกโปรโมทคำว่า สังคมไร้เงินสดเหมือนที่ไทยไปได้เลย เพราะที่นั่น ไร้เงินสดมาได้สักพักแล้ว วิธีการนี้ยังช่วยป้องกันแบงก์ปลอมได้ด้วย แต่พอโทรศัพท์หายก็เดือดร้อนมากเหมือนกัน เพราะทุกอย่างอยู่ในโทรศัพท์หมดเลย”
  •  คนจีนที่เมืองกวางโจวจะมีวัฒนธรรมการกินไปทางอาหารเพื่อสุขภาพ คือไม่ใช่ผงปรุงรสเลย อาหารทุกอย่างจะปรุงด้วยเกลือเท่านั้น น้องมุกกล่าวว่า “ที่น่าแปลกใจคือ คนจีนที่เธออยู่ด้วย ส่วนมากไม่ชอบกินเนื้อสัตว์ พวกเขาบอกว่า เนื้อสัตว์มีกลิ่นจึงชอบกินผักมากกว่า” ทุกครั้งที่เมนูอาหารมีเนื้อสัตว์จึงเป็นคิวของสาวไทยของเราที่ได้กินเนื้ออย่างสบายใจ ไม่ต้องมีใครแย่งเลยทีเดียว แต่สิ่งที่ขัดใจสาวไทยของเรา คือ การล้างจาน ที่นั่นใช้แค่น้ำเปล่ากับน้ำร้อน ไม่ได้ใช้น้ำยาล้างจาน เป็นแบบนี้ทุกที่ แม้แต่ที่ร้านอาหารก็เป็นแบบนั้น จากที่เคยชินกับการล้างจานแบบมีฟอง เมื่อต้องล้างในแบบที่ปราศจากฟองก็ไม่ค่อยมั่นใจในความสะอาดเท่าไหร่ แต่สำหรับคนจีนเอง เชื่อว่าการล้างจานแบบนี้ดี เพราะไม่จำเป็นต้องใช้สารเคมีเลย
  • ช่วงหนึ่งขณะที่อยู่ในเมืองกวางโจว คือ การออกไปฉลองเทศกาล “จงชิวเจี๋ย” หรือเทศกาลวันไหว้พระจันทร์ ซึ่งเป็นวันสำคัญอีกวันหนึ่งของคนจีน ตรงกับวันขึ้น 15 ค่ำ เดือน 8  ตามปฏิทินจันทรคติจีน ด้วยลักษณะทางภูมิศาสตร์ของจีน เมื่อเข้าสู่เดือนสารท คือ เดือน 7-9 ตามปฏิทินจันทรคติจีน ท้องฟ้าแจ่มใส อากาศปลอดโปร่ง ประกอบกับเป็นฤดูกาลแห่งการเก็บเกี่ยว เทศกาลนี้แต่โบราณจึงมีลักษณะของการเฉลิมฉลองการเก็บเกี่ยวด้วย คนจีนจึงถือเอาวันนี้เป็นวันครอบครัว สมาชิกทุกคนในมูลนิธิฯที่เมืองกวางโจวช่วยกันเตรียมอาหารแต่เช้า แล้วออกไปทานข้าวด้วยกันที่สวนสาธารณะ พูดคุย เล่นเกมด้วยกัน ใช้เวลาด้วยกันเหมือนเป็นครอบครัวจริงๆ น้องมุกเล่าว่า วันนั้นใช้เวลาทั้งวันอยู่ที่สวนสาธารณะ พอถึงช่วงเย็นๆ ก็ไปที่บ้านของสมาชิกคนหนึ่ง ขึ้นไปบนดาดฟ้า ย่างบาบีคิว ดื่มชา และชมพระจันทร์ด้วยกัน “วันนั้นพระจันทร์สวยมาก อาจารย์บอกว่า เราขึ้นมาบนดาดฟ้าจะได้เห็นพระจันทร์ชัดขึ้น วันนั้นได้กินขนมไหว้พระจันทร์ด้วย ตอนอยู่ที่ประเทศไทย ไม่ค่อยชอบกิน แต่พออยู่ที่จีน และได้กินขนมไหว้พระจันทร์แบบต้นตำหรับ รู้สึกว่ามันอร่อยมาก วันนั้นเป็นวันที่ประทับใจมุกมากจริงๆค่ะ”
ปิกนิกที่สวนสาธารณะวันไหว้พระจันทร์
  • ในช่วงที่ต้องทำกิจกรรมต่างๆ น้องมุกต้องออกเดินทางด้วยตัวเอง โดยใช้บริการรถสาธารณะ ซึ่งที่จีนการเดินทางค่อนข้างสะดวกสบาย เพราะมีการจัดการระบบขนส่งสาธารณะที่ดี สามารถจ่ายค่าโดยสารผ่านแอพลิเคชั่นในโทรศัพท์ได้เหมือนการซื้อของทั่วไป ซื้อบัตรรถโดยสารสาธารณะใบเดียว สามารถใช้บริการได้ทั้งรถไฟฟ้า รถไฟใต้ดิน และรถเมล์ซึ่งถูกอกถูกใจมากที่สุด เพราะค่าโดยสารถูกมาก แค่ 2 หยวน ตลอดสาย (ประมาณ 9 บาท) แต่เป็นรถปรับอากาศอย่างดี และมีทั้งป้ายไฟและเสียงประกาศแจ้งจุดจอดรถตลอดทาง ทำให้ไม่ต้องกังวลว่าจะหลง ส่วนคนจีนเองจะใช้รถส่วนตัวน้อยมาก หากต้องใช้ก็จะใช้เป็นรถระบบไฟฟ้าแทนรถที่ใช้น้ำมัน เพราะรัฐบาลให้สิทธิพิเศษและสนับสนุนให้ประชาชนใช้รถไฟฟ้าเพื่อช่วยลดมลพิษทางอากาศ ต้องถือว่าระบบขนส่งมวลชนของจีนแซงหน้าไทยไปหลายก้าวทีเดียว

ได้เวลาสอบวัดระดับภาษาจีน

                ต่อมาเหล่าอาสาสมัครที่กระจายตัวทำกิจกรรมในจีน ก็เดินทางกลับมาที่ฮ่องกงอีกครั้ง โดยครั้งนี้มีภารกิจใหญ่ที่เปลี่ยนชีวิตรออยู่ นั่นคือ อาสาสมัครทุกคนจะต้องสอบสอบวัดระดับความรู้ภาษาจีน (HSK) ระดับ 5 (สูงสุดระดับ 6) ให้ได้ โดยมีเวลาเตรียมตัวก่อนสอบเพียง 1 เดือนเท่านั้น อาสาสมัครทุกคนต้องเข้าร่วมภารกิจนี้ จึงต้องช่วยเหลือกัน โดยมีทั้งอาจารย์ผู้ดูแลและเพื่อนๆชาวจีนช่วยสอนให้ น้องมุกเองเคยเรียนภาษาจีนเมื่อครั้งอยู่มัธยม แต่ไม่ได้ใช้ในชีวิตจริง จึงค่อยๆ ลืมไป เมื่อต้องกลับมาเรียนอีกครั้งโดยมีเป้าหมายเป็นรูปเป็นร่างทั้งต้องสื่อสารกับคนจีนจริงๆ และต้องสอบวัดระดับ จึงไม่ใช่เรื่องง่ายเลย การเรียนเป็นไปอย่างเข้มข้น โดยต้องจำคำศัพท์มากกว่า 1,000 คำ เรียนวันละ 4 ชั่วโมง ในขณะที่ช่วงเวลาที่เหลือก็ต้องทำกิจกรรมอื่นๆ อีก และที่ต้องท้าทายตัวเองอีกอย่างคือ แต่ละวันในเวลาเรียน จะต้องสอบเขียนคำศัพท์ ซึ่งมีกฎเหล็กว่า “ถ้าใครเขียนผิด 1 ใน 3 คำ จะต้องอดข้าว 1 มื้อ” น้องมุกผ่านมาได้โดยไม่เคยต้องอดอาหารเพราะเขียนผิดเลย แต่กลับเครียดหนัก เพราะคิดว่าตัวเองเรียนรู้ช้ากว่าเพื่อนคนอื่นๆ จนอาจารย์ต้องบอกจุดประสงค์จริงๆ ในการสอบครั้งนี้ว่าไม่ใช่เพื่อให้คะแนนออกมาดีที่สุด แต่สอบเพื่อให้เราได้ท้ทายตัวเอง ลองทำบางสิ่งด้วยความตั้งใจที่สุด และลองทำมันอย่างมีความสุข หลังจากนั้นสาวไทยจึงคลายความกังวล และทำแบบฝึกหัดได้คะแนนดีขึ้นเรื่อยๆเพราะเริ่มมองเปลี่ยนมุม สนุกกับความท้ทายที่เข้ามาดีกว่าเอาแต่กังวล

    ผ่านทางการเป็นอาสาสมัครในครั้งนี้ น้องมุกได้เรียนรู้ไม่ใช่แค่ภาษาหรือการแลกเปลี่ยนวัฒนธรรม แต่กิจกรรมต่างๆ ที่ได้ทำก็ค่อยๆ ฝึกให้เหล่าอาสาสมัครเข้มแข็งขึ้นโดยไม่รู้ตัว จากคนที่เคยขี้อายและไม่มั่นใจในตัวเองก็มั่นใจมากขึ้นเนื่องจากต้องแสดง เต้น เล่นละครอยู่บ่อยๆ นอกจากนี้ ยังกล้าที่จะลองทำในสิ่งใหม่ๆ มุกกล่าวว่า “ตอนนี้ทำอะไรก็ง่ายขึ้น เพราะทุกกิจกรรมที่เราทำที่จีนเหมือนเป็นการฝึก อย่างตอนนี้เตรียมตัวสอบเข้าทำงาน ถึงแม้จะอ่านหนังสือเยอะ หากเป็นเมื่อก่อนคงเครียดและกดดัน แต่ถ้าเทียบกับตอนที่ต้องสอบภาษาจีนแล้ว การสอบครั้งนี้ก็กลายเป็นเรื่องง่ายไปเลยเพราะเคยผ่านเรื่องยากมากมาก่อนแล้ว ช่วงเวลาที่อยู่จีน แม้จะไม่ได้ยาวนานมากสักเท่าไร แต่ก็เป็นช่วงชีวิตที่คุ้มค่ามากจริงๆ”