นางสาวอินทิรา ปินตา ชื่อเล่น ขนุน เรียนที่มหาวิทยาลัยเชียงใหม่ ชั้นปีที่ 3 คณะศึกษาศาสตร์ เอกศิลปะ เลือกไปเป็นอาสาสมัครที่ประเทศบราซิลเพราะว่าอยากจะลองไปประเทศที่ไม่เคยเรียนภาษาของเขามาก่อนซึ่งก็คือภาษาโปรตุเกส และรู้จักเพียงแค่ป่าอเมซอนและฟุตบอลเท่านั้น ไม่ได้รู้จักว่าวัฒนธรรมเป็นอย่างไร เลยอยากจะลองไปดู

พอไปถึงสนามบิน อารมณ์แบบว่าถึงแล้วหรอประเทศที่เราต้องมาใช้ชีวิตโดยที่ไม่รู้เลยว่าอนาคตจะเป็นอย่างไร เลยรู้สึกตื่นเต้นเล็กๆ เดินทางจากไทยไปพักเครื่องที่ประเทศสหรัฐอาหรับเอมิเรตส์ และต่อเครื่องไปบราซิล รวมเวลาทั้งหมด 20 กว่าชั่วโมง เดินทางเดือนพฤศจิกายน ปี 2015 ใช้ชีวิตที่บราซิลเป็นเวลาประมาณ 9 เดือน ตอนที่ไปถึงเป็นฤดูร้อน อากาศที่นั่นแห้งกว่าไทย แดดแรงเหมือนกรุงเทพ ถ้าฝนตกอีกวันอากาศจะเย็น ได้ไปอยู่เมือง São Paulo เมืองเศรษกิจของประเทศ ลักษณะภูมิประเทศเป็นที่ราบสลับภูเขา ผู้คนใจดี ที่บราซิลมีคนจีน คนญี่ปุ่นอาศัยอยู่เยอะ ตอนที่เราได้คุยกับคนบราซิลครั้งแรกเค้าก็จะคิดว่าเราเป็นคนจีนหรือไม่ก็ญี่ปุ่น เลยไม่ค่อยสนใจสักเท่าไหร่ แต่พอรู้ว่าเราเป็นคนไทยเค้าก็จะให้ความสนใจกับเรามาก จะพูดว่าฉันไม่เคยรู้จักคนไทยเลย คนไทยเป็นแบบนี้หรอ อยากไปประเทศไทยจัง เพราะคนไทยไม่ได้ไปอยู่ที่นั่นกันเยอะ พอเจอเราเค้าก็จะรู้สึกตื่นเต้นมากกว่าคนชาติอื่นๆ ที่มาจากเอเชีย

เดือนแรกได้ทำงานก่อสร้าง ผู้หญิงได้ขนทราย ทราย อิฐ บล็อก ผู้ชายก็ทำงานที่หนักกว่า นอกจากนั้นยังได้ไปตามมหาวิทยาลัยต่างๆ เพื่อโปรโมท world camp ที่จัดที่ Estância Árvore da Vida ในเมือง Sumaré ใช้เวลาเดินทาง 2 ชั่วโมงจาก São Paulo ค่าย 3 วัน มีนักศึกษาจากประเทศแถบลาตินอเมริกามาเข้าร่วมกันเยอะมาก ประมาณ 2500 คน ในค่ายมีการเต้น มีบูธวัฒนธรรมของทวีปต่างๆ รวมถึงทวีปเอเชีย เรามีโอกาสได้ประชาสัมพันธ์ประเทศไทย (Tailândia) แนะนำวัฒนธรรม อาหารการกิน ชีวิตความเป็นอยู่ของคนไทย มีคนให้ความสนใจเป็นจำนวนมาก โครงการของเราไม่ใช่แค่ทำค่ายสนุกๆ แต่เราต้องการสื่อเรื่องโลกของจิตใจให้นักศึกษาหรือเยาวชนด้วย ผู้ใหญ่ที่สังเกตุเห็นสิ่งที่เราต้องการจะสื่อนี้ก็จะสนใจและส่งลูกหลานมาเข้าร่วมโครงการ

เริ่มเดือนที่ 3 ก็มีค่าย Korean Camp คนบราซิลชอบ K-pop มาก คนไทยเค้าก็รู้จัก เช่น กอล์ฟ-ไมค์ แม้กระทั่งซีรี่ย์ที่ไมค์เล่นกับออม และอีกหลายเรื่องๆ ที่เราไม่รู้จัก หลังจากจบค่ายเราก็เริ่มเตรียม International Mind Education Institute (IMEI) เป็น Workshop เรื่องโลกของจิตใจ งานอบรมมีระยะเวลา 3 วันเต็ม ในวันที่ 3 ของงานอบรม วิทยากรก็พูดถึงความฝันและเป้าหมายในชีวิต เค้าอธิบายว่าความฝันไม่จำเป็นต้องมองดูแล้วรู้สึกว่าเราสามารถทำให้เกิดขึ้นได้เอง ความฝันเป็นสิ่งที่เหนือความคาดหมาย เช่น ถ้าเราต้องการมีบ้าน มีรถ แบบนี้ไม่ใช่ความฝัน มันเป็นสิ่งที่เราอยากได้อยากมีเพื่อตัวเอง แต่ความฝันไม่ใช่เพื่อตัวเราเองคนเดียว แต่ความฝันนั้นเพื่อคนอื่น แม้มันจะดูเหมือนเป็นสิ่งที่เราอยากจะมีเพื่อตัวเองก็ตาม และสุดท้ายผู้บรรยายก็ยกตัวอย่างผู้ที่ประสบความสำเร็จ เช่น อับราฮัม ลินคอร์น ที่มองไม่เห็นว่าฝันเค้าจะเป็นจริงได้ แต่ในใจเค้ามีความหวังมาตั้งแต่เด็ก เค้าก็เดินตามความฝันนี้เรื่อยๆ จนวันหนึ่งก็สามารถไปถึงฝันได้

ช่วง 8-9 เดือน ใกล้จะเดินทางกลับ เป็นช่วงเตรียมงาน  Bible Seminar ที่เมือง Jundiaí ซึ่งอยู่ใกล้ๆ São Paulo หลังจากนั้นก็ได้รู้จักคนโบลิเวียคนหนึ่ง เค้าชวนเราไปทานอาหารมื้อพิเศษที่บ้านเขา เป็นอาหารที่คนโบลิเวียจะกินกันแค่ตอนปีใหม่ ทั้งๆ ที่บ้านเค้าไม่ได้มีเงินเยอะ แต่เพราะเราใกล้จะกลับประเทศไทย เค้าเลยทำอาหารให้เรากิน จริงๆ วันนั้นไม่ได้อยากจะไปทานอาหารที่บ้านเค้า อยากจะไปซื้อของมากกว่า แต่เพื่อนก็บอกให้ไปและพูดว่า ตอนนี้เธอไม่รู้หรอกว่าสิ่งที่เค้าหรือคนอื่นๆ ทำมันมีค่าแค่ไหน แต่พอวันนึงที่เธอกลับประเทศไทยไป และมองย้อนกลับมาเธอจะรู้ว่าสิ่งนี้มีค่ามาก  ตอนนี้ที่กลับมาไทยก็รู้สึกว่าเข้าใจในสิ่งที่เพื่อนพูดแล้ว หลังจากงานอบรมก็มี Korean Camp อีกครั้ง และจัด Culture Night เป็นการแสดงวัฒนธรรมของแต่ละประเทศ มีการแสดงมากกว่า 10 เพลง มากกว่า 10 วัฒนธรรมทั่วโลก เราก็ต้องซ้อมเต้น ตัวเองได้เต้นเพลงของหมู่เกาะฟิจิและแอฟริกา หลังจากนั้นอาจารย์ผู้ก่อตั้ง IYF Brazil ก็พาพวกเราไปเที่ยวเมือง Caraguatatuba ที่มีทะเล และเดินขึ้นเขากันสนุกมาก

สอนภาษาไทยสัปดาห์ละ 1 ครั้ง มีนักเรียน 2 คน คลาสเรียนบางครั้งมีสอนทำอาหาร มีสอนเรื่องผลไม้ เราก็จะพานักเรียนออกไปข้างนอก แต่จริงๆ คือเราหิว เราอยากกิน เลยพาไปตลาด ชี้ให้ดูผลไม้ว่าภาษาไทยเรียกว่าอะไร จากนั้นเราก็จะกินผลไม้ไปด้วย กลับมาที่ศูนย์ก็มาทบทวนกัน เรียนกันแบบนี้นักเรียนก็รู้สึกสนุกไปด้วย

ที่บราซิลมีคนเร่ร่อนเยอะ แต่ก็จะมีระดับแตกต่างกันไป จากคนที่มีแค่เสื้อผ้าและนอนข้างถนน แต่ถ้าขยับระดับให้สูงขึ้นมาอีกนิดนึงก็จะมีหมอน สูงขึ้นมาอีกก็จะมีเตียงเดี่ยว ระดับสูงขึ้นไปอีกก็มีหมาน่ารักๆ และเตียง สูงขึ้นไปอีกจะมีเพื่อน มีคู่ มีเตียงคู่ แต่มีบ้านคนเร่ร่อนหลังหนึ่งที่อยู่ใต้สะพาน มีเตียงแบบ King size มีผ้าห่มดีๆ มีการก่อกองไฟ แม้ภายนอกจะเป็นถนน Paulista ซึ่งเป็นถนนเส้นเศรษฐกิจ อยู่ในเมืองเศรษฐกิจของประเทศก็ตาม บางคนออกมานั่งสูบบุหรี่ นั่งทำอาหารทาน เมื่อเราถามพวกเขาว่าทำไมไม่กลับบ้าน เขาก็บอกว่า “ฉันอยากจะใช้ชีวิตแบบนี้ อยากเป็นคนเร่ร่อนแบบนี้” นอกจากนี้คนบราซิลยังชอบ grafiti กันมากๆ ต่อให้กำแพงสูงมากแค่ไหน เค้าก็สามารถปีนขึ้นไปวาดรูปได้ โดยการขีดเขียนผนังนี้เป็นเหมือนการปลดปล่อยอารมณ์ของวัยรุ่น จนรัฐบาลต้องออกกฎหมายมาห้ามขีดเขียนผนังโดยพละการ

ที่เมือง São Paulo ร้านค้าต่างๆ จะเริ่มปิดตอน 5 โมงเย็น พอ 6 โมงทุกคนก็อยู่ในบ้านกันหมดแล้ว เพราะอาชญากรรมเยอะและสามารถเกิดขึ้นได้ง่ายมาก จากความเห็นส่วนตัวอาจเพราะคนบราซิลไม่ค่อยเก็บอารมณ์ หากไม่พอใจใครก็แสดงออกอย่างชัดเจน จะทำอะไรก็เรื่องของเรา เช่น มีป้าไปขโมยของร้านสะดวกซื้อ พนักงานขอดูกระเป๋าเพราะเห็นว่าผิดปกติ ป้าก็ทำเนียนโวยวายแล้วก็จะออกไป แต่พนักงานไม่ยอมจะวิ่งเข้าไปต่อยป้า จนสามีป้าวิ่งเข้ามาช่วยแล้วก็เดินออกกันไป คือควบคุมอารมณ์กันไม่ค่อยได้ มีอะไรก็พูดออกมาตรงๆ

มี Group meeting ตามบ้านสมาชิก ได้ไปสัปดาห์ละ 1 วัน ผ่านทางการไปเยี่ยมบ้านสมาชิกนี้เราได้เห็นวัฒนธรรม ความเป็นอยู่ ที่นี่คนไม่ค่อยอยู่บ้านกัน จะทำงานนอกบ้าน มีโอกาสได้เห็นจิตใจของเจ้าของบ้านด้วย ที่บราซิลเวลาคนมีปัญหาก็จะหนีออกจากบ้านได้ง่ายๆ บางคนหนีไปเป็นคนเร่ร่อนสิบปี 20 ปีไม่ยอมกลับ มีสมาชิก IYF คนหนึ่งที่สามีหนีออกจากบ้านไปเป็น 10 ปี เธอก็ตามหา จนไปเจอสามีเป็นคนเร่ร่อนอยู่ ช่วงที่หายไปก็ไปกินเหล้าติดยา จนสติไม่ดี ลืมภรรยาของตัวเอง แต่ภรรยาก็พากลับมาบ้าน ดูแลอย่างดีและรู้สึกดีใจและขอบคุณที่ได้เจอสามี

วันหนึ่ง หลังจากไป Group meeting ตอนกลางคืนที่จะเดินทางกลับ เวลาประมาณ 4 ทุ่ม มีป้าคนหนึ่งกำลังยืนโทรศัพท์อยู่ใกล้ๆ รถที่เราจอดไว้ เหมือนกำลังจะกลับบ้าน แต่ยืนอยู่คนเดียวตอนกลางคืน เรานั่งอยู่ในรถ อยู่ดีๆ ก็เห็นโจรพุ่งมาด้วยความเร็ว แล้วก็วิ่งข้ามกำแพง ขึ้นไปอีกก็เป็นสะพาน แล้วก็วิ่งหายตัวไปเลย คือกำแพงสูงมาก  หากเป็นคนปกติทำไม่ได้ ต้องใช้ความชำนาญระดับสูง ที่บราซิลมีหลายเหตุการณ์ให้ได้เจอมาก ถ้าเป็นที่ไทยก็คงจะเป็น Thailand only แต่ที่บราซิลต้องเป็น “ที่นี่บราซิล”

ปกติที่มูลนิธิฯ ประจำประเทศไทยจะสอนพื้นฐานภาษาที่เราต้องใช้ในประเทศที่จะเดินทางไป แต่ขนุนไปแบบกระทันหันเลยไม่มีเวลาได้เรียนภาษาโปรตุเกส จึงรู้จักแค่คำว่า oi (โอ๋ย) ที่แปลว่าสวัสดีเท่านั้น วันแรกๆ ใครมาทักอะไรเราก็พูดแต่คำว่า oi เพราะพูดมากกว่านี้ไม่ได้ 2-3 วันหลังจากนั้นจึงเริ่มเรียนคำอื่นๆ เช่น bom diaที่แปลว่าสวัสดีตอนเช้า เรียนภาษาเหมือนเด็ก ต้องฝึกพูดและค่อยๆ เรียนไปเรื่อยๆ ต้องฝึกพูดจากสถานการณ์จริง เราเลยพูดมั่วๆ ไปก่อนพอคนฟังเริ่มจับได้ว่าคือคำไหนเขาก็จะพูดคำที่ถูกต้องให้เรา เราก็จำจากเค้า และพูดเลียนแบบเค้า

บราซิลเป็นประเทศที่ผู้คนมีเชื้อชาติมากกว่า 2 เชื้อชาติ บางคนหน้าตาคล้ายญี่ปุ่นมาก แต่พอถามว่าเป็นคนที่ไหนก็บอกว่าเป็นคนบราซิล พ่อแม่ก็บราซิล แต่พอถามถึงรุ่นปู่ย่าตายายก็จะพบว่ามาจากที่อื่น เพราะบราซิลเป็นประเทศเปิด เลยมีการผสมเชื้อสายกันค่อนข้างเยอะ ชุดประจำชาติบราซิลคือเสื้อบอล เพราะที่นี่อะไรๆ ก็บอล

กิจกรรมที่แนะนำคือ moneyless trip อย่างเช่นที่เคยได้ยินมา เราจะต้องทำยังไงก็ได้ให้ไปถึงอีกรัฐหนึ่งซึ่งอยู่ใกล้แม่น้ำอะเมซอน (Amazon) จะไปยังไงก็ได้โดยที่ไม่มีเงิน เหมือนเป็นการเดินทางข้ามประเทศ เพราะไกลมาก แต่ละคนก็จะได้ประสบการณ์ต่างกัน บางคนได้ไปพักบ้านคนมีเงิน มีคนซื้อตั๋วรถให้นั่งไปถึงเมืองนั้นอย่างสบาย บางคนต้องนั่งรถขนเนื้อไปทุกวัน แต่ก็ได้เห็นเมือง เห็นภูเขา เห็นข้างทางไปเรื่อยๆ จนถึงเมืองจุดหมาย บางคนเดินทางเหนื่อยมาก 1 สัปดาห์แล้วยังอยู่ที่ São Paulo คนกลุ่มนี้ก็จะเหนื่อยกว่าคนอื่นๆ แต่สุดท้ายทุกคนก็ไปถึงจุดหมายเหมือนกัน กลุ่มที่ไปถึงก่อนก็ได้ไปอยู่ที่หมู่บ้านชาวเผ่าอินโจ ก็เลยต้องใช้ชีวิตกับคนเผ่านี้ พออาบน้ำเสร็จก็รู้สึกแสบๆ ตัว พอมองดูรอบๆ ก็เห็นว่ามีตัวไรติดเต็มตัวไปหมด เหมือนเป็นแม่น้ำที่มีแต่แมลงชนิดนี้ ที่มีแค่ในบราซิลแม่น้ำอะเมซอน เป็นกิจกรรมที่เหมาะกับชายไทยมาก เพราะที่ประเทศไทยเราใช้ชีวิตสบายเกินไป แต่ที่บราซิลได้มีโอกาสไปเจอความลำบาก ทำให้ผู้ชายบราซิลจะหุ่นดีกันมาก หุ่นเหมือนนักฟุตบอล

สิ่งที่ได้จากการเป็นอาสาสมัครคือเรื่องความฝัน คือตัวเองไม่เคยมีความฝัน การไปต่างประเทศได้ไปเจออะไรใหม่ๆ แต่ที่บราซิลทำให้เห็นว่าเราไม่ได้ต่างจากคนเร่ร่อน อยู่ที่ไทยก็กินไป เรื่อยๆ วันๆ ตื่นนอน กินข้าว ทำงาน ได้เงิน แต่ไม่เคยมีเป้าหมาย หรือความฝันที่อยากจะเปลี่ยนแปลง หรืออยากจะช่วยเหลือใครเลย ที่บราซิลคนเร่ร่อนเยอะมาก ตอนแรกก็ไม่ได้คิดว่าตัวเองเป็นเหมือนคนเร่ร่อน แต่พออยู่ไปนานๆ เข้าก็เริ่มรู้สึกว่าเราเหมือนเค้า จึงรู้สึกว่าเราควรจะมีอะไรสักอย่างที่จะนำทางชีวิตของเรา เราจะอยู่เรื่อยๆ แบบนี้ไม่มีอะไร เหมือนอยู่แต่ในความมืดตลอดเวลา อยู่แต่กับอะไรเดิมๆ ไม่ได้ แต่พอได้จุดมุ่งหมายจากบราซิล ทุกอย่างก็ไม่เหมือนเดิม ตอนนี้เรามีความหวัง มีจุดมุ่งหมายในใจที่ทำให้เราตื่นมาแล้วอยากจะก้าวเดินต่อไป